ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 วางหลักว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ
หากสรุปย่อ ๆ การหมิ่นประมาท ก็คือการใส่ความผู้อื่นโดยมีบุคคลที่สามเข้ามารับรู้เกี่ยวข้อง และการใส่ความนั้นทำให้ผู้ถูกใส่ความอาจจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้นั่นเอง
การหมิ่นประมาท ไม่ใช่ การดูหมิ่นซึ่งหน้า โดยเป็นคนละฐานความผิดกัน แต่ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นความผิดทางอาญาเหมือนกัน
1.การใส่ความที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ไม่จำกัดวิธี ไม่ว่าทางวาจา หรือลายลักษณ์อักษร กริยาท่าทางหรือโดยพฤติการณ์อื่นก็ตาม เช่นเขียนจดหมาย, ส่งข้อความ ,โพสต์ข้อความ , ตั้งคำถาม , ตอบคำถาม ,บอกเล่า ,วาดภาพ , ถ่ายวีดีโอที่มีการร่วมประเวณีกันแล้วนำไปให้ผู้อื่นดู ,ใช้ภาษาใบ้หรือใช้สัญลักษณ์ ฯลฯ
2.ต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่เป็นอดีต หรือ ปัจจุบันเท่านั้น
3.ต้องเป็นการใส่ความในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องที่ใส่ความ
4.เรื่องที่ใส่ความจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จก็ตาม
ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องจริงแต่หากทำให้ผู้ถูกใส่ความน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ก็อาจผิดฐานหมิ่นประมาทได้นั่นเอง
5.เรื่องที่ใส่ความต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประชาชนทั่วไปได้ทราบเรื่องนั้นแล้ว จะต้องเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้หรือสามารถเกิดขึ้นจริงๆได้
กรณีเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้จึงไม่เป็นการใส่ความ เช่น กล่าวหาว่าผู้อื่นเป็นกระสือ , เป็นผีปอบ ฎ.256/2509
ทั้งนี้กรณีใดไม่ถือเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทนั้น จำเป็นต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
1. ผู้อื่นซึ่งอาจถูกใส่ความและเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ จะเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล ก็ได้
- กรณีบุคคลธรรมดา ต้องมีสภาพบุคคลในขณะถูกใส่ความ
- กรณีนิติบุคคล ต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการตามขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น ๆ ด้วย
2. ข้อความที่ใส่ความต้องเป็นการเฉพาะ ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่าหมายถึงบุคคลใด
- แม้ไม่ระบุชื่อชัดเจน แต่หากบุคคลที่สามสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร ก็อาจเป็นการใส่ความซึ่งเป็นความผิดได้
หากเป็นการกล่าวใส่ความรวม ๆ โดยกล่าวถึงบุคคลทั้งกลุ่มหรือทั้งคณะ หากว่าจำนวนบุคคลในขณะนั้นมีไม่มาก ดังนี้ แต่ละคนหรือทุกคนร่วมกันในกลุ่มคณะนั้นร่วมกันเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
การใส่ความที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ จะต้องเป็นการใส่ความโดยมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเป็นการพูดต่อหน้าผู้เสียหายโดยตรง ทั้งที่ไม่มีบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้องเลย ย่อมไม่ใช่การหมิ่นประมาท แต่อาจเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า
ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อบุคคลที่สามได้ทราบและเข้าใจข้อความนั้น ไม่ว่าบุคคลที่สามจะเชื่อเรื่องที่ใส่ความดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม แต่หากบุคคลที่สาม
- ไม่ได้รับข้อความ
- ไม่ได้ยิน/หูหนวก หรือ
- ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจข้อความ
= เป็นความผิดฐานพยายามหมิ่นประมาทเท่านั้น
การใส่ความ แม้ผู้เสียหายไม่รู้หรือไม่เข้าใจในข้อที่ใส่ความก็ตาม ขอเพียงแต่บุคคลที่สามเข้าใจและน่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ก็เพียงพอแล้ว
ในการพิจารณาว่าการใส่ความนั้นเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ ต้องพิจารณาจากความรู้สึกและตามความรู้ความเข้าใจของวิญญูชนทั่วไป ทั้งนี้การใส่ความนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดผลคือมีการเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังเกิดขึ้นกับผู้เสียหายจริงๆ เพราะแค่เพียงน่าจะเกิดความเสียหายดังกล่าวขึ้นกฎหมายก็ให้ความคุ้มครองผู้เสียหายแล้วนั่นเอง
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา การใส่ความที่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น มักเป็นการใส่ความใน 5 เรื่องดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ แม้การกระทำนั้นเป็นความผิดครบองค์ประกอบฐานหมิ่นประมาทแล้วก็ตาม แต่ผู้กระทำก็อาจอ้างเหตุยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 , 331 หรืออาจพิสูจน์เพื่อให้ตนไม่ต้องรับโทษได้ตามหลักเกณฑ์มาตรา 330 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งรายละเอียดในส่วนนี้ขอยกเอาไปอธิบายในโอกาสต่อไป
หากท่านรู้สึกว่าตัวเองเสียหายเพราะถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องใดก็ตาม ก็อย่าเพิ่งใจร้อนด่วนโพสต์หรือเล่าสู่กันฟังให้ใครต่อใครทราบ โดยทนายขอแนะนำให้รีบเข้าปรึกษาเพื่อหาทางใช้วิธีตามขั้นตอนกฎหมายที่ถูกต้อง ป้องกันการถูกฟ้องร้องเป็นคดีอาญาซึ่งทำให้ท่านเสียเปรียบและการสู้คดีเมื่อถูกฟ้องร้อง ท่านต้องเสียสุขภาพจิต เสียเวลาเป็นอย่างมาก
ด้วยความปรารถนาดี…